กบฏอินเดีย ค.ศ. 1857 เป็นการกบฏเพื่อต่อต้าน
การปกครองอินเดียของ
บริษัทอินเดียตะวันออกระหว่างค.ศ. 1857–1858 การกบฏเริ่มขึ้นในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1857 เมื่อ
ซีปอย หรือทหารราบอินเดียที่ใช้
ปืนเล็กยาวเป็นอาวุธที่บริษัทอินเดียตะวันออกเกณฑ์มาเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์และช่วยในการรบลุกฮือขึ้นที่เมือง
มีรัต ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเดลี (ปัจจุบันคือ
โอลด์เดลี) ก่อนจะเกิดการกบฏอื่น ๆ โดยทหารและประชาชนตามมาใน
พื้นที่ลุ่มคงคาและ
อินเดียกลาง[2] การกบฏจบลงในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1858 การกบฏครั้งนี้รู้จักในชื่ออื่น ๆ เช่น กบฏซีปอย (Sepoy Mutiny)
[3], การจลาจลอินเดีย (Indian Insurrection)
[4] และสงครามประกาศเอกราชครั้งที่หนึ่ง (First War of Independence)
[5]บริษัทอินเดียตะวันออกเป็นบริษัทร่วมทุนสัญชาติอังกฤษที่มีจุดประสงค์เพื่อทำการค้ากับภูมิภาคอินเดียตะวันออก จัดตั้งในปี ค.ศ. 1600 บริษัทเข้ามาติดต่อค้าขายกับอินเดียและจัดตั้งสถานีการค้าในปี ค.ศ. 1612
[6] การเข้ามามีบทบาทในอินเดียทำให้บริษัทขัดแย้งกับเจ้าพื้นเมืองและบริษัทของชาติมหาอำนาจอื่น ๆ จนในปี ค.ศ. 1757 บริษัทอินเดียตะวันออกรบกับ
จักรวรรดิโมกุลและประสบชัยชนะใน
ยุทธการที่ปลาศี ทำให้ได้ครอบครองเบงกอล
[7] หลังจากนั้นบริษัททำสงครามกับ
ราชอาณาจักรไมซอร์และ
จักรวรรดิมราฐา ทำให้ครอบครองดินแดนในอนุทวีปอินเดียมากขึ้น นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ลงความเห็นว่าการกบฏครั้งนี้มีที่มาจากหลายสาเหตุ ได้แก่ ความขัดแย้งด้านความเชื่อ การปกครองและพัฒนาอินเดียให้เป็นตะวันตกจนเกินไปของบริติช และการขูดรีดภาษี
[8][9] อีกหนึ่งปัจจัยที่มักถูกพูดถึงคือข่าวลือเรื่องไขมันที่ชโลมปลอกกระสุนปืนเล็กยาวเอนฟิลด์ พี-53 ที่เป็นอาวุธประจำกายทหารซีปอยนั้นทำมาจากไขมันวัวและหมู ซึ่งวัวเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดูและหมูเป็นสัตว์ต้องห้ามของชาวมุสลิม
[10]วันที่ 29 มีนาคม ค.ศ. 1857 Mangal Pandey ทหารซีปอยผู้ไม่พอใจบริษัทอินเดียตะวันออกใช้ปืนยิงผู้บังคับบัญชาชาวบริติชก่อนจะถูกจับกุมและถูกประหารชีวิต
[11] การประหารชีวิต Pandey ทำให้ทหารบางส่วนไม่พอใจจนในวันที่ 10 พฤษภาคม เกิดเหตุจลาจลในเมืองมีรัต อาคารต่าง ๆ ถูกเผาและมีประชาชนถูกฆ่า
[12] ทหารซีปอยบางส่วนที่ก่อการกำเริบเดินทางไปยังเดลีอันเป็นที่ประทับของจักรพรรดิ
บาฮาดูร์ ชาห์ ซาฟาร์แห่งโมกุล และเรียกร้องขอการสนับสนุนซึ่งพระองค์ตอบรับ
[13] การจลาจลที่เดลีทำให้ทหารซีปอยหน่วยอื่น ๆ ลุกฮือตาม ชาวมุสลิมส่วนใหญ่เข้าร่วมฝ่ายกบฏ
[14] ในขณะที่ชาวซิกข์และปาทานสนับสนุนฝ่ายบริติช
[15] ฝ่ายกบฏสามารถยึดเมืองสำคัญของ
รัฐพิหาร หรยาณา มัธยประเทศ มหาราษฏระ และ
อุตตรประเทศ ก่อนจะถูกทหารฝ่ายบริติชที่ได้กำลังเสริมมาจากเปอร์เซียและจีนตีโต้ วันที่ 21 กันยายน ฝ่ายบริติชยึดเมืองเดลีคืนจากฝ่ายกบฏได้สำเร็จและเนรเทศจักรพรรดิบาฮาดูร์ ชาห์และพระญาติไปที่
ย่างกุ้ง[16] ปลายปี ค.ศ. 1857 ฝ่ายบริติชก็เริ่มยึดดินแดนสำคัญคืนได้และตีทัพฝ่ายกบฏในอินเดียกลางจนแตกพ่ายในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1858 ต่อมาวันที่ 8 กรกฎาคม มีการลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพ ตามมาด้วยการล้างแค้นกบฏที่ก่อเหตุสังหารหมู่ชาวบริติชในการล้อมเมือง
กานปุระและ
ลัคเนาด้วยการแขวนคอหรือยิงด้วยปืนใหญ่
[17] การกบฏจบลงในวันที่ 1 พฤศจิกายน เมื่อทางบริติชประกาศนิรโทษกรรมกบฏที่ไม่ก่อเหตุฆาตกรรม ก่อนจะประกาศว่าการกบฏจบลงอย่างเป็นทางการในวันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1859
[18]กบฏอินเดีย ค.ศ. 1857 เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้จักรวรรดิโมกุลที่ดำรงอยู่นานกว่า 300 ปีต้องล่มสลาย
[19] ด้านรัฐสภาสหราชอาณาจักรออก
พระราชบัญญัติรัฐบาลอินเดีย ค.ศ. 1858 ทำให้บริษัทอินเดียตะวันออกสิ้นสภาพในการปกครองอินเดียและถ่ายโอนอำนาจการปกครองไปยังราชสำนักอังกฤษโดยตรง
[20] ส่วนกองทหารซีปอยถูกรวมเข้ากับกองทัพอินเดียที่จัดตั้งใหม่ภายใต้บัญชาการของราชสำนักอังกฤษ